ตอนที่ 1

เลขที่ 1 ช็อค (ช็อคโกแลต) - กฤตชัย โชติช่วงรัตติกาล

 

พวกคุณรู้มั้ยว่ามันเป็นเรื่องยากแค่ไหน กับการที่ผมต้องมานั่งเขียนบันทึกชีวิตของตัวเองเนี่ย

แต่ทำไงได้ล่ะ ก็นี่เป็นงานที่พวกเราทุกคนต้องทำนี่นา

ในฐานะที่ผมเป็นนักเรียนเลขที่หนึ่ง ได้รับสิทธิ์ในการเขียนบันทึกนี้เป็นคนแรก ผมคิดว่าผมควรจะต้องแนะนำพวกเราก่อนสินะ

ผมคงไม่ต้องบอกชื่อ เพราะพวกคุณคงเห็นชื่อผมจากชื่อตอนอยู่แล้ว ผมเป็นนักเรียนเลขที่หนึ่งของห้องเรียน ม.๖/๕ จากโรงเรียนประจำแห่งประเทศไทร ซึ่งเป็นโรงเรียนเพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่ในประเทศไทรแห่งนี้

พวกคุณคงสงสัยว่าทำไมประเทศนี้ถึงเหลือโรงเรียนแค่โรงเรียนเดียวน่ะเหรอ…อืม เรื่องมันยาวน่ะ

เรื่องราวของพวกผมเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สาม ซึ่งเป็นสงครามชีวภาพ มีการปล่อยเชื้อโรค SARS-CoA-10 หรือที่เรียกกันติดปากว่า COVIA100 ให้แพร่ไปทั่วโลก เชื้อโรคนั้นทำให้คนตายมหาศาล สิ่งที่ตามมาคือศึกสงคราม เพื่อการแย่งชิงทรัพยากรที่สร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง เกิดภัยพิบัติ ทั้งสึนามิ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด จนในที่สุด ประชากรมนุษย์ก็เหลือเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ทั่วโลกเท่านั้น หลายประเทศสูญเสียประชากรจนล่มสลาย หลายประเทศต้องก่อร่างสร้างตัวใหม่ ด้วยประชาชนและทรัพยากรที่มีอยู่เพียงน้อยนิด

‘ประเทศไทร’ เองก็เป็นประเทศเกิดใหม่ที่มีประชากรหลงเหลือเพียงเจ็ดแสนคนเท่านั้น พวกเราตั้งรกรากกันอยู่ที่เมืองไทร ณ ที่ไหนสักแห่งใกล้ ๆ กับเส้นศูนย์สูตรของโลก

เมืองไทร เป็นเมืองใหญ่ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงและโดม ภายในกำแพงนั้นเป็นสถานที่อยู่อาศัยของคน ซึ่งมีทั้งบ้านเรือน ตึก สวนสาธารณะ ระบบไฟฟ้าและน้ำประปาไหลเวียนตามปกติ ใจกลางเมืองคือ ‘คฤหาสน์ผู้นำ’ สถานที่ซึ่งบรรดาผู้นำประเทศไทรในปัจจุบันอาศัยอยู่ ภายในเมืองไทรแห่งนี้ ยังไม่มีสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัย

แต่มีสถานศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ ๑ - มัธยมศึกษาปีที่ ๖ อยู่ที่หนึ่ง นั่นก็คือ ‘โรงเรียนประจำแห่งประเทศไทร’ นั่นเอง

นักเรียนภายในโรงเรียนประจำแห่งประเทศไทร ทุกคนล้วนเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่ นั่นก็เพราะว่าเพื่อที่จะเร่งผลิตทรัพยากรคนให้กับประเทศหลังสูญเสียจากสงคราม รัฐบาลก็ได้เปิดโครงการ ‘ผลิตมนุษย์’ ขึ้นมา โดยคัดเลือกเซลล์อสุจิมาผสมกับเซลล์ไข่ที่แข็งแรง จากนั้นก็เอาไปใส่ในหญิงตั้งครรภ์ที่เหมาะสม เมื่อเด็กคนนั้นโตพอเข้าโรงเรียน ก็จะถูกส่งให้เข้ามาเรียนในโรงเรียนประจำแห่งนี้เอง

นักเรียนจะต้องใช้ชีวิตในสภาพไร้นามสกุลจนกระทั่งถึงมัธยมศึกษาปีที่สาม จากนั้นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามทุกคนต้องสอบวัดระดับความสามารถ เพื่อเข้าเรียนในหลักสูตรการเรียนที่เหมาะสมในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในตอนนั้นทุกคนจึงจะได้รับนามสกุล โดยจะต้องผ่าน ‘พิธีประทานนามสกุล’

ในการเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จะแบ่งห้องเรียนออกเป็นห้าห้อง เรียงตามความเก่งคือห้องหนึ่ง สอง สาม สี่ และห้า ตามลำดับ

หรือพูดง่าย ๆ ก็คือพวกผมที่เรียนอยู่ ม.๖/๕ ในตอนนี้ คือห้องบ๊วยนั่นเอง…

ห้องบ๊วยที่ขึ้นชื่อว่าห่วยแตกที่สุด โง่เง่าที่สุด สมองทึบที่สุดนั่นแหละครับ

เด็กทุกคนในห้องบ๊วยแห่งนี้ หลังเข้าพิธีประทานนามสกุลแล้ว ทุกคนต่างก็ได้รับนามสกุลเดียวกันว่า ‘โชติช่วงรัตติกาล’ ซึ่งมีความหมายว่า ‘ค่ำคืนอันสว่างไสว’

ความหมายดูย้อนแย้ง แต่ผมชอบนะ เพราะผมเป็นคนแย้งย้อนยังไงล่ะ

อ้าว…แป้กเหรอ ขอโทษที

กลับเข้าเรื่องครับ โรงเรียนประจำแห่งประเทศไทรนั้นมีทั้งหมดแปดตึก ตึกหนึ่งเป็นตึกของผู้บริหาร ตึกสองถึงตึกแปดเป็นตึกเรียน ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พวกเราจะได้เรียนหนึ่งตึกต่อหนึ่งระดับชั้น โดยหนึ่งตึกมีห้าชั้นรวมชั้นใต้ดิน หนึ่งชั้นต่อหนึ่งห้องเรียน สำหรับนักเรียนมัธยมหกห้องบ๊วยอย่างพวกผม พวกเราอยู่ตึกแปด เรียนและอยู่อาศัยในชั้นใต้ดิน

เรียนและอยู่อาศัย…ถูกต้องแล้วครับ

พวกคุณคงเคยชินกับประโยคที่ว่า ‘โรงเรียนคือบ้านหลังที่สอง’ ล่ะสินะครับ…แต่สำหรับพวกผมน่ะ โรงเรียนนั่นแหละคือบ้านเลย ถ้าบ้านจะหมายถึงสถานที่ซึ่งเราอยู่อาศัย กินและนอนอยู่ภายในนั้นน่ะนะ

ชั้นใต้ดินแบ่งออกเป็นสี่ส่วนใหญ่ ๆ ส่วนแรกคือห้องเรียน ประกอบด้วยโต๊ะเก้าอี้ กระดาน คอมพิวเตอร์และโปรเจกเตอร์ ส่วนที่สองคือห้องปฏิบัติการ ประกอบด้วยห้องคอมพิวเตอร์ และห้องทำแลปวิทยาศาสตร์ ส่วนที่สามคือส่วนสำหรับอยู่อาศัย แบ่งเป็นห้องนอนรวมชาย ห้องนอนรวมหญิง และห้องน้ำรวมชาย ห้องน้ำรวมหญิง ส่วนที่สี่คือห้องลับ

ตอนนี้ พวกเราต้องเรียนอยู่ในระบบการศึกษาไทร ซึ่งมองว่าวิชาเรียนที่จำเป็นมีเพียงสามวิชาเท่านั้น นั่นคือคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา

ในตอนนี้ คุณครูผู้สวมชุดคลุมสีดำสนิท หันหลังให้พวกเรา ในมือถือชอล์ค เขียนบนกระดานซึ่งเต็มไปด้วยสูตรคณิตศาสตร์ ส่งเสียงพึมพำเรียบเรื่อยไร้ช่องไฟราวเสียงสวดมนต์ คือ ‘คุณครูรัตนา’ ครูประจำชั้นของพวกเรา

ผมนั่งเรียนอยู่หน้าสุดแถวกลาง…ถามว่าที่นั่งหน้าสุดนี่คือเป็นเด็กเรียนเหรอ? ความจริงคือเปล่า แค่ตื่นสายเลยแย่งที่นั่งข้างหลังเพื่อนไม่ทัน ข้าง ๆ ผมคือไอ้ ‘พลัม’ เพื่อนสนิทของผมผู้เป็นหัวหน้าห้อง…ถามว่าที่เป็นหัวหน้าห้องนี่คือได้รับความเชื่อถือจากเพื่อน ๆ เหรอ? ความจริงคือเปล่า จับฉลากมาได้ด้วยดวง (ซวย) ล้วน ๆ

เพื่อนซวยคบเพื่อนซวยคือเพื่อนแท้ มันหนีไปไหนไม่ได้แน่มีแต่จะต้องซวยไปด้วยกัน นี่แหละครับคติของผม

เวลาอันน่าเบื่อช่างยาวนานราวชั่วนิรันดร์ จนในที่สุด กริ่งเลิกเรียนก็ดังขึ้น

“นักเรียน ทำความเคารพคุณครู!” พลัมประกาศ

“ขอบคุณครับ/ค่ะคุณครู” ทุกคนเอ่ยเสียงเนือย ๆ

“นักปราบมาร ทำความเคารพผู้บัญชาการ!” พลัมประกาศอีกครั้ง

เมื่อสิ้นเสียงประกาศ นักเรียนจากที่เคยดูเหนื่อยหน่ายนั่งบนโต๊ะเรียน พลันลุกขึ้นยืนตรง ตะเบ๊ะท่าปลายนิ้วแตะหางคิ้ว เอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า

“ทำความเคารพผู้บัญชาการ!”

บุคคลผู้สวมชุดคลุมดำหน้ากระดานสะบัดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ดวงตาเฉี่ยวคม ผมยาวสีดำรวบหางม้า ใบหน้านิ่งสนิท สวมชุดเกราะเหล็กเต็มยศพร้อมออกศึก ท่าทางจากที่ดูเนือย ๆ ในการสอนเมื่อครู่นี้ เปลี่ยนเป็นกระฉับกระเฉงในฉับพลันราวคนละคน

‘ร้อยตรีรัตนา ระวีวิโรจน์’ กวาดตามอง ‘ผู้ใต้บังคับบัญชา’ ของเธอ แล้วกล่าวว่า “ให้เวลาพักผ่อนสิบห้านาที พวกเราต้องไปรวมตัวกันที่กระทรวงปราบวิญญาณแห่งโลกภายในเวลาห้าโมงครึ่ง”

“รับทราบ!” เหล่านักเรียนตอบรับโดยทั่วกัน

 

_______________

 

sds

นิยายเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก

1. Assassination Classroom

2. Togainu no Chi

3. Seraph of the End

ดังนั้นกลิ่นอายก็จะวน ๆ อยู่กับสามเรื่องนี้นะคะ ^^